เปิดกลุ่ม รัฐเยียวยาเพิ่ม รับ 3 พัน 3 เดือน

เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่คนทั้งประเทศต่างติดตามและต้องบอกว่าสำหรับวินาทีนี้ หลายๆคนต่างได้รับผลกระทบขจากสถานการณ์ต่างๆในตอนนี้กันอย่างมากซึ่งต้องบอกว่าสำมาตรการต่างๆนั้นช่วยได้หลายคนเลยจริงๆ

สำหรับ โครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME เมื่อวัน 5 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงาน ตามมติของ ศบศ.

พร้อมพิจารณาแนวการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับผู้ประกอบการในส่วนของรายได้จากเงินอุดหนุนดังกล่าว

โดย ครม. มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน ประสานกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาแนวการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับผู้ประกอบการในส่วนของรายได้จากเงินอุดหนุนดังกล่าว เเละวันนี้ ได้รวมรวม คุณสมบัติ เงื่อนไข ไทม์ไลน์การเยียวยารอบใหม่ ดังนี้

สำหรับรายละเอียดสำคัญของโครงการ มีดังนี้

1.คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการเยียวยา

ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเยียวยานายจ้าง อุดหนุนการจ้างงานจะต้องเป็นนายจ้างภาคเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยจำนวนไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน

2.เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุน

-รัฐจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมและรักษาการจ้างงานให้แก่นายจ้าง ให้กับลูกจ้างสัญชาติไทย จำนวนไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน

-เงินอุดหนุนคำนวณตามยอดการจ้างจริงทุกเดือน โดยพิจารณาจากจำนวนลูกจ้างที่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม

-นายจ้างจะต้องรักษาการจ้างงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ในระหว่างร่วมโครงการ (หากต่ำกว่าร้อยละ 95 จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนในเดือนนั้น) ในกรณีนายจ้างมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น จะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มตามจำนวนการจ้างงานจริง ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนลูกจ้างสัญชาติไทย ณ วันเริ่มโครงการ

สำหรับไทม์ไลน์โครงการ มีดังนี้

1.ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ วันที่ 20 ต.ค.-20 พ.ย.64

-ยืนยันเข้าร่วมโครงการ

-เลขบัญชีธนาคาร

-ทราบยอดการจ้างงาน ณ เดือนที่เข้าร่วมโครงการ

2.ระยะเวลาการโอนเงินเยียวยา

-เดือนที่ 1 วันที่ 30 พ.ย.64

-เดือนที่ 2 วันที่ 30 ธ.ค.64

-เดือนที่ 3 วันที่ 31 ม.ค.65

อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้คาดว่าจะรักษาระดับการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทยในธุรกิจ SMEs ที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 ราย ที่มีสถานประกอบการจํานวน 480,122 แห่ง และจะสามารถรักษาการจ้างงานลูกจ้างได้จำนวน 5,040,176 คน